Please use this identifier to cite or link to this item: http://mcuir.mcu.ac.th:8080/jspui/handle/123456789/1360
Title: การจัดการความรู้ชุมชน ๕ ดีสู่การพัฒนานวัตกรรมชุมชนวิถีพุทธ
Other Titles: Community Knowledge Management of 5 Good Principles for the Buddhist Community Innovation Development
Authors: เหนืออำนาจ, รัตติยา
พรหมกัลป์, อัครเดช
พระครูสุธีธรรมบัณฑิต
Keywords: ชุมชน 5 ดี
Smart People
Smart Culture
Smart Ecology
Issue Date: 2566
Publisher: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
Abstract: การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) จัดการความรู้ชุมชน 5 ดี และ 2) ประเมินผลและถอด บทเรียนการจัดการความรู้ชุมชน 5 ดีสู่การพัฒนานวัตกรรมชุมชนวิถีพุทธ เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ประกอบด้วย ขั้นตอนที่ 1 การวางแผน โดยการประสานงานพื้นที่เป้าหมาย สังเคราะห์ความรู้ และ กำหนดขอบเขตของพื้นที่ ขั้นตอนที่ 2 การปฏิบัติ โดย 1) การบ่งชี้ความรู้ 2) การสร้างและแสวงหา ความรู้ โดยการประชุมแกนนำระดับชุมชน จำนวน 7 รูป/คน และการจัดเสวนาระหว่างตัวแทน ชุมชน จำนวน 60 รูป/คน 3) การจัดเก็บและการสืบค้นความรู้ 4) การประมวลและกลั่นกรองความรู้ 5) การถ่ายทอดความรู้ และ 6) การใช้ความรู้ ขั้นตอนที่ 3 การติดตามประเมินผลความรู้ โดย 1) การประเมินผลโครงการแบบซิป ใช้การประชุมกลุ่มกับตัวแทนชุมชน จำนวน 16 รูป/คน และ 2) การสังเกตแบบมีส่วนร่วมของนักวิจัย และทีมพี่เลี้ยงชุมชน ขั้นตอนที่ 4 สะท้อนผลการขับเคลื่อน กิจกรรมฯ การจัดประชุมสนทนากลุ่มเพื่อคืนข้อมูลสู่ชุมชนและถอดบทเรียนการทำงาน เพื่อให้เกิด การแบ่งปันหรือแลกเปลี่ยนความรู้ ใช้เทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา ผลการวิจัย พบว่า 1. การจัดการความรู้ชุมชน 5 ดีสู่การพัฒนานวัตกรรมชุมชนวิถีพุทธ ประกอบด้วย 1.1 การสังเคราะห์และบ่งชี้ความรู้ กระบวนการนี้ได้จากการศึกษาค้นคว้า ผลงานวิจัย จำนวน 13 ผลงาน ที่ผู้วิจัยได้ดำเนินการในพื้นที่วิจัย และจากงานวิจัยของนักวิชาการที่มี ความเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ดำเนินการวิจัย สามารถจำแนกเป็นหมวด ประกอบด้วย หมวดที่ 1 บุคคล ต้นแบบ หมวดที่ 2 วัฒนธรรมดี หมวดที่ 3 สิ่งแวดล้อมดี หมวดที่ 4 เศรษฐกิจดี และหมวดที่ 5 ภูมิ ปัญญาท้องถิ่นดี 1.2 การแสวงหาความรู้ กระบวนการนี้ผู้วิจัยได้รวบรวมความรู้ที่มีอยู่ชุมชน และ ความรู้ที่แฝงอยู่ในตัวบุคคลอันประกอบด้วย ภูมิรู้ ภูมิธรรม และภูมิปัญญา ผ่านกลไกการมีส่วนร่วม ของชุมชน พบว่า 1) มีข้อตกลงชุมชน เรื่อง การขยายพื้นที่เป้าหมาย 2) มีการสร้างกลไกเจ้าภาพ 3) มีการกำหนดเป้าหมายร่วมกันของชุมชน และ 4) มีการออกแบบการจัดทำแผนที่ผู้รู้ตำบล และ หนังสือยินยอมอนุญาตให้เผยแพร่ภาพถ่าย วีดีโอ และ/หรือข้อมูลส่วนบุคคลบนอินเตอร์เน็ตหรือ กระดานข่าวอื่น ๆ 1.3 การจัดเก็บ การสืบค้นความรู้ การประมวลและกลั่นกรองความรู้ โดยมีทีมพี่ เลี้ยง คอยตรวจสอบ กลั่นกรองความรู้ ให้คำแนะนำ และประสานในพื้นที่ให้อย่างใกล้ชิด ประกอบด้วย หมวดที่ 1 บุคคลต้นแบบ จำนวน 23 คน ประกอบด้วย ผู้นำทางจิตวิญญาณ ผู้นำ ท้องถิ่น และผู้นำท้องที่ และหมวดที่ 2 วัฒนธรรมดี จำนวน 9 คน หมวดที่ 3 สิ่งแวดล้อมดี จำนวน ข 2 คน หมวดที่ 4 เศรษฐกิจดี จำนวน 17 คน และหมวดที่ 5 ภูมิปัญญาท้องถิ่นดี จำนวน 17 คน รวมทั้งสิ้น 68 รูป/คน 1.4 การระดมความคิดเห็นเพื่อยืนยันชุดข้อมูลชุมชน ประกอบด้วย 1) การเสวนา ชุมชน “บ้าน ชุมชน ฅน หนองนมวัว” และ 2) การประกวดคลิปวิดีโอ “การเรียนรู้ตามปราชญ์” 1.5 การถ่ายทอดความรู้ เป็นแบ่งปันความรู้ ส่งต่อและรับความรู้ที่สามารถนำไป ผสมผสานกับความรู้ของชุมชนที่มีอยู่เดิมจนก่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่และถ่ายทอดหมุนเวียนกันต่อไป อย่างเป็นระบบ ประกอบด้วย 1) การจัดทำหนังสือชุดความรู้ชุมชน “เรื่องเล่าชุมชน ฅน หนอง นมวัว” และ 2) การจัดทำแผนที่ผู้รู้ตำบลหนองนมวัว 1.6 การขยายผล และสร้างมูลค่าชุดความรู้ ขั้นตอนนี้ทีมวิจัยและทีมพี่เลี้ยงชุมชน ได้เลือกตัวอย่างชุดความรู้ต้นแบบเพื่อไปสู่การขยายผล และถ่ายทอดความรู้ให้แก่ชุมชน คือ “การปั้น ลูกกระสุนดินเหนียว” โดยจัดกิจกรรรม 1) การแข่งขันยิงหนังสติ๊กเพื่อสืบสาน อนุรักษ์ภูมิปัญญา ท้องถิ่นตำบลหนองนมวัว ได้กำหนดจัดงานตักบารตเทโวโรหณะ ในประเพณีวันออกพรรษา และ 2) การแข่งขันยิงหนังสติ๊กเพื่อสืบสาน อนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นตำบลหนองนมวัว แมตซ์ล้างตา ในงาน บุญเดือน 3 สืบงานประเพณี “บุญคูนลาน สู่ขวัญข้าว” ประจำปี 2567 2. การประเมินผลและถอดบทเรียนการจัดการความรู้ชุมชน 5 ดีสู่การพัฒนานวัตกรรม ชุมชนวิถีพุทธ พบว่า 2.1 การติดตามประเมินผลความรู้ แบบซิปโมเดล ประกอบด้วย 1) การประเมิน ด้านบริบท พบว่า 1.1) ตำบลหนองนมวัวเป็นพื้นที่เชิงปฏิบัติการทางสังคมของคณะผู้วิจัยมากกว่า 3 ปี ผ่านการมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการพัฒนาชุมชนในมิติต่าง ๆ และ 1.2) ทุนทางวัฒนธรรมมี ความเข้มแข็ง มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ 2) การประเมินปัจจัยป้อน พบว่า 2.1) แกนนำชุมชน จิตอาสามีความเข้มแข็ง (2) ศักยภาพชุมชน ประกอบด้วยองค์ประกอบของคนที่ดี งานที่ดี และชุมชน ที่ดี 2.3) การสนับสนุนจากภาครัฐและภาคีเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ 3) การประเมิน กระบวนการ พบว่า 3.1) มีการสร้างข้อตกลงชุมชน 3.2) มีการสร้างกลไกเจ้าภาพ 3.3) มีการ กำหนดเป้าหมายร่วมกันของชุมชน คือ “เรียนรู้ตามปราชญ์” 4) การประเมินผลิตผล พบว่า 4.1) ขับเคลื่อนกิจกรรมเพื่อพัฒนาครบทุกพื้นที่ แต่มีการปรับเปลี่ยนผู้รู้ชุมชนในตำบลหนองนมวัว ตาม ความเหมาะสม และสร้างโอกาสในการปรับปรุงหนังสือชุดความรู้ชุมชนได้หากมีการค้นพบผู้รู้ท่าน ใหม่ หรือมีการสร้างความรู้ใหม่เกิดขึ้นในพื้นที่ และ 4.2) การสูญหายของชุดความรู้ท้องถิ่น ขาดช่วง การสืบทอดความรู้ 2.2 การสะท้อนผลการขับเคลื่อนกิจกรรม พบว่า 1) กระบวนการในการจัดการ ความรู้ ประกอบด้วย 8 ขั้นตอน และ 2) การวิเคราะห์ และถอดบทเรียน พบว่า ประกอบด้วย 2.1) ปัญหาและข้อจำกัด ประกอบด้วย เงื่อนเวลาของผู้รู้ และการสูญหายของชุดความรู้ และ 2.2) ปัจจัย ความสำเร็จ ประกอบด้วย การสนับสนุนจากภาครัฐ ศักยภาพชุมชน ทุนทางวัฒนธรรม การมีส่วน ร่วม และแกนนำชุมชน/จิตอาสามีความเข้มแข็ง
URI: http://mcuir.mcu.ac.th:8080/jspui/handle/123456789/1360
Appears in Collections:รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์

Files in This Item:
File Description SizeFormat 
ว.023.2566.pdf16.04 MBAdobe PDFView/Open


Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.