Please use this identifier to cite or link to this item:
http://mcuir.mcu.ac.th:8080/jspui/handle/123456789/1358
Title: | การลดความเหลื่อมล้ำ: การวิจัยและพัฒนาการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง ในกลุ่มเพศทางเลือกของสังคมตามแนววิถีพุทธ |
Other Titles: | Reducing inequality: research and development to solve structural problems among LGBTQ+ people in Buddhist society |
Authors: | อภินนฺโท, พระมหาชุติภัค วัฒนาชัยวณิช, รังสรรค์ สุขสถิตย์, เบญจมาศ วัฒนะประดิษฐ์, ขันทอง อุดมโชคนามอ่อน, ไชยสิทธิ์ เหล่าสุนทร, ขวัญชนก |
Keywords: | การลดความเหลื่อมล้ำ แนวทางการแก้ไขปัญหา กลุ่มเพศทางเลือก |
Issue Date: | 2566 |
Publisher: | มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย |
Abstract: | การศึกษาวิจัยเรื่อง “การลดความเหลื่อมล้ำ: การวิจัยและพัฒนาการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างในกลุ่มเพศทางเลือกของ สังคมตามแนววิถีพุทธ” เป็นการวิจัยปฏิบัติการ (Action Research) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ ๑) เพื่อศึกษารูปแบบการลดความเหลื่อมล้ำของกลุ่มเพศทางเลือกในสังคมตามแนววิถีพุทธ ๒) เพื่อพัฒนากลไกการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของกลุ่มเพศทางเลือกในสังคมตามแนววิถีพุทธ และ๓) เพื่อเสนอแนะแนวทางในการลดความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างของกลุ่มเพศทางเลือกในสังคมตามแนววิถีพุทธให้กับหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งกลุ่มตัวอย่างได้แก่ การคัดเลือกกลุ่มเพศทางเลือกในท้องถิ่น โดยการสุ่มแบบเจาะจง จำนวน ๓๔ คน คือ เป็นเยาวชนในท้องถิ่นที่สนใจในโครงการฯ แล้วจัดกิจกรรมพัฒนาศักยภาพของกลุ่มเพศทางเลือก ในเรื่อง “ค่าของตนสร้างคนให้สมดุล” จำนวน ๑ ครั้ง ๒ วัน ส่วนผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ทรงคุณวุฒิ ระดับจังหวัด ระดับท้องถิ่น นักวิชาการ และกลุ่มเพศทางเลือก จำนวน ๕ คน โดยการสุ่มแบบเจาะจง ตามความสำคัญของเรื่อง คือ เป็นบุคคลที่มีบทบาทและความสัมพันธ์เกี่ยวกับกระบวนการพัฒนาการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างในกลุ่มเพศทางเลือกของสังคมตามแนววิถีพุทธ โดยการสัมภาษณ์ ส่วนการสนทนากลุ่มเฉพาะ จำนวน ๑๐ คน กับกลุ่มเพศทางเลือกในท้องถิ่นที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมโครงการฯ ผลการวิจัย พบว่า มนุษย์มีความอคติ มีความคิดเป็นของตนเองเป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งที่เราสามารถทำได้เพี่อลดความเหลื่อมล้ำที่เกิดจากเพศเลือกที่เกิดกับเรา คือการปฏิบัติตนไปด้านที่ดี ไม่ปฏิบัติตนให้เป็นที่เดือดร้อนของบุคคลอื่น และบุคคลทั่วไปก็ควรเปิดใจยอมรับเพศทางเลือกคิดว่าเขาก็คือมนุษย์ มีความรู้และความสามารถเหมือนบุคคลทั่วไป รวมถึงหน่วยงานก็ควรให้สิทธิกับกลุ่มเพศทางเลือกเหมือนบุคคลทั่วไป ไม่ควรเลือกปฏิบัติ นอกจากนั้น พระพุทธศาสนาได้เสนอหลักปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม เป็นการสร้างความเสมอภาคเท่าเทียมกันทั้งในด้านวัตถุและจิตใจ พร้อมทั้งความเสมอภาคด้านสิทธิและโอกาสเพื่อช่วยลดความขัดแย้ง และสร้างความสามัคคีได้จริงเพราะไม่ต้องแข่งขันกัน สร้างวัฒนธรรมแห่งสันติสุขเพราะการแบ่งปันผลผลิตหรือปัจจัยสี่ตามความ ข จำเป็น และอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นบนฐานของการเคารพ และการให้เกียรติกันและกัน แม้ว่าจะไม่รู้จักกันมาก่อนก็ตาม โดยมีหลักปฏิบัติ ดังนี้ ๑) การสร้างความเสมอภาคเท่าเทียมกัน ในระบบของสังคมสงฆ์ก่อนนับจะต้องสละทรัพย์สินเงินทอง เมื่อบวชแล้วก็จะต้องใช้สอยปัจจัย ๔ เพียงเพื่อการยังอัตภาพให้เป็นไปได้เท่านั้น ไม่ใช้สอยเพื่อการบำรุงบำเรอให้ร่างกายสวยงาม หรือเพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนาน การใช้สอยปัจจัย ๔ ยังตั้งอยู่บนหลักการที่ว่าการไม่สะสมส่วนเกิดหรือการไม่ยึดถือไว้เป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัว ความเสมอภาคเท่าเทียมกันของการมีหรือการปัจจัย ๔ อย่างจำเป็น และเรียบง่าย ๒) ความยุติธรรม หลักแนวคิดภายใต้ระบบทรัพย์สินส่วนกลาง ได้ปรากฏสะท้อนการแบ่งปันทรัพย์สินของสงฆ์ที่เป็นไปด้วยความยุติธรรม เพราะเป็นการปฏิบัติตามความจำเป็นและเหตุผลสมควรของแต่ละคนที่ควรจะได้รับซึ่งหลีกเลี่ยงเกณฑ์การให้ด้วยขนาดหรือปริมาณของความต้องการที่อยากจะได้ ๓) ให้ความสำคัญต่อสังคมส่วนรวม ในสังคมสงฆ์ก็มีระบบการจัดการทรัพย์สินส่วนกลางที่เรียกว่า “ของสงฆ์” เป็นอุดมคติของการน้อมนำเอาวัตถุทานหรือทรัพย์สินทั้งหมดให้ตกเป็นของสงฆ์ส่วนรวม โดยพระสงฆ์ทั้งหมดต่างเป็นเจ้าของร่วมกัน การที่สงฆ์ทุกรูปแบบเป็นเจ้าของกรมสิทธิ์ช่วยกันสร้างช่วยกันปฏิบัติหรือช่วยกันดูแลรักษานั้น เป็นระบบโครงสร้างเศรษฐกิจของสังคมหนึ่งเดียว เป็นระบบการจัดการทรัพย์สินแบบเป็นก้อน ๆ เดียว ทั้งสังคมคล้าย ๆ กับหลักการของสหกรณ์ที่ไม่มีการแข่งขันและเป็นระบบ ๔) ลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สังคมสงฆ์ได้กลายเป็นสังคมที่สามารถแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมปรากฏเป็นสังคมต้นแบบแห่งความเสมอภาคเท่าเทียมกันทั้งในด้านสิทธิและโอกาส กล่าวคือ มีความเสมอภาคทางด้านเศรษฐกิจ สังคมสงฆ์มีความเท่าเทียมกันในด้านเศรษฐกิจ คือ ปัจจัย ๔ ซึ่งทุกคนก่อนที่จะบวชและหลังบวชจะต้องสละทรัพย์สินเงินทองหรือต้องสละกรรมสิทธิ์ส่วนเกินให้ตกเป็นของสงฆ์ส่วนรวม เราจะพบว่าวิถีชีวิตของพระสงฆ์เป็นการดำเนินชีวิตที่เป็นไปในทิศทางและรูปแบบเดียวกันหมด กล่าวคือการมี หรือไม่มีซึ่งปัจจัย ๔ เป็นการมีหรือไม่มีแบบเท่าเทียมกัน ไม่ว่าคนนั้นจะเคยเป็นคนร่ำรวยหรือยากจนมาก่อนก็ตาม เมื่อเข้ามาบวชแล้ว สถานะทางเศรษฐกิจจะเหมือนกันหมด ดังนั้น การใช้ระบบทรัพย์สินส่วนกลางจึงเป็นการปรับฐานทางด้านเศรษฐกิจของแต่ละคนให้อยู่ในระดับที่เท่าเทียมกัน |
URI: | http://mcuir.mcu.ac.th:8080/jspui/handle/123456789/1358 |
Appears in Collections: | รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ |
Files in This Item:
File | Description | Size | Format | |
---|---|---|---|---|
ว.021.2566.pdf | 7.91 MB | Adobe PDF | View/Open |
Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.